อ่านต่อ »
-
พัฒนาการของลูกน้อยเมื่อเข้าสู่วัยต่างๆ
ข้อมูลดีๆที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ทราบถึงวิธีการเลี้ยงลูกน้อยให้เติบโตไปพร้อมกับพัฒนาการสมวัย
-
เมื่อเป็นพ่อแม่สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการให้
เมื่อลูกน้อยเกิดมา เค้าไม่มีอะไรติดตัวมาเลย พ่อและแม่จะต้องเป็นผู้หาให้ เราจะมีวิธีการเลือกและจัดหาสิ่งต่างๆที่จำเป็นเพื่อลูกน้อยน่ารักได้อย่างไร...
-
พัฒนาการลูกน้อย
พัฒนาการลูกน้อย ตั้งแต่แรกเกิดจนเติบโต คุณพ่อคุณแม่จะมีวิธีการอย่างไรให้ลูกรักเติบโตไปพร้อมกับพัฒนาการที่สมวัย
-
Post With Featured Image
iam 1989 wisi quam lorem vestibulum nec nibh, sollicitudin volutpat at libero litora, non adipiscing...
-
Elementum mauris aliquam ut
iam wisi quam lorem vestibulum nec nibh, sollicitudin volutpat at libero litora, non adipiscing. Nul...
อ่านต่อ »

คราวนี้ลูกเดินได้คล่องดีแล้ว เริ่มปีนป่ายกระไดได้สูงขึ้น และชอบปีนเตียง ปีนเก้าอี้ไปทั่ว ลองให้เตะบอล ก็จะพอทำท่าเตะได้ แต่ยังเตะไม่เป็น เมื่อคุณเปิดเพลงให้เขาฟัง เขาจะชอบทำท่าเต้น และของโปรดคือ การหมุนปุ่มต่างๆ ของหน้าปัด ทีวี, วิทยุ ฯลฯ เท่าที่เขาจะหมุนได้ โดยเฉพาะบรรดาปุ่มที่พอหมุนแล้ว จะมีเสียงหรือภาพเปลี่ยนไปให้เห็น คือว่าเขากำลังลองของดูว่า ถ้าหมุนปุ่มนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ปุ่มนั้นจะเกิดอะไรขึ้น และจะพยายามลองทำอีกบ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ที่รู้ใจ ก็อาจจะยอมให้เขาได้ลองปิดเปิดสวิทช์ (อันที่ปลอดภัย) หรือหมุนปุ่มปรับเสียง (รีโมตคอนโทรก็ได้) ของวิทยุ ทีวี ดูบ้าง หรือซื้อของเล่นที่มีปุ่มต่างๆให้ลองกดเล่น แล้วมีเสียง หรือแสงไฟ และตุ๊กตาโผล่ออกมาทักทาย ลูกก็จะง่วนเล่นของชิ้นนั้นได้อีกนาน
อ่านต่อ »
เด็กวัยนี้จะพูดคำศัพท์ต่างๆได้ดีมากขึ้น และเริ่มรวมคำเป็นประโยคง่ายๆ เช่น “ไม่ไป”, “ไปเที่ยว”, “นกบิน”, ลูกจะเริ่มถอดเสื้อผ้าออกเองได้ และเล่นตุ๊กตา (ทำท่าป้อนนมตุ๊กตาฯลฯ) และในบางราย จะเริ่มลองแปรงฟันเอง (ทำตามคุณพ่อคุณแม่) แต่คุณยังต้องช่วยเขา
เริ่มรู้จักแยกแยะของต่างๆ
ลูกจะเริ่มรู้จักว่าของต่างๆ กันมีรูปทรง และขนาดแตกต่างกัน พอจะรู้ถึงความแตกต่างของสี (ถึงแม้จะยังเรียกชื่อสีต่างๆไม่ได้) และลักษณะของสิ่งต่างๆ เด็กจะชอบเล่นเอาของเข้าออกในตะกร้าของเล่น และจะพบว่า เขาจะเริ่มจัดกลุ่มของของที่เขาเล่นอยู่ ออกเป็นเกณฑ์ต่างๆ เช่น ของสีเดียวกัน หรือ รูปทรงยาวเหมือนกัน อยู่เป็นกลุ่มเดียวกัน

เริ่มจู้จี้....กินข้าวยาก....
คุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่มีลูกในวัยนี้ จะรู้ว่าการพยายามป้อนข้าวให้ลูกวัยนี้ นั้นยากเพียงไร ลูกจะยังไม่มีคอนเซปต์ว่า ต้องทานอาหารเป็นมื้อ หรือต้องทานให้หมดจาน อย่างที่คุณต้องการ เด็กเองมีสิ่งยั่วยวนใจหลายอย่างอยู่ตรงหน้า ที่จะทำให้เขาลืมเรื่องการทานอาหารได้ เช่น ทีวีที่กำลังตื่นเต้น หรือ เด็กคนอื่นๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่
บางช่วงจะดูเหมือนเขาเบื่ออาหาร คุณพ่อคุณแม่หลายคนจะพยายามสรรหาอาหารนานาชนิด เลือกเอาแบบที่มีสารอาหารครบถ้วนที่สุดมาให้ และเปลี่ยนเมนูเป็นว่าเล่นทุกวัน แต่การทำดังนั้น จะไม่ได้ช่วยให้ลูกทานได้มากขึ้น เลยทำให้คุณแม่บางคนเครียดจัด จนทำให้เวลาทานอาหารของลูก เหมือนการเข้าสู่สงครามเอาชนะกัน
ที่จริงแล้วเด็กวัยนี้เขาจะหิว และทานเองตามที่เขาต้องการ ซึ่งอาหารที่ชอบอาจจะเป็น ของที่หยิบจับเข้าปากเองได้ (finger food) เช่น แซนวิชชิ้นเล็กๆ, ข้าวปั้นเป็นก้อน, ขนมปัง ฯลฯ และไม่ควรจะบังคับให้ลูกต้องทานอาหารให้ครบห้าหมู่ในแต่ละมื้อ หรือแต่ละวัน คุณควรจะคอยดูแลจัดอาหารที่มีประโยชน์เหล่านี้ หมุนเวียนสลับไปบ้างในแต่ละอาทิตย์ โดยใช้อาหารธรรมดาที่เขาคุ้นเคยไม่กี่อย่างจะดีกว่า (ดูในเรื่องโภชนาการของเด็กวัยนี้)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณผู้เขียน
พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านต่อ »
การพัฒนาการของเด็ก อายุ 1 ปี 4 เดือน (16 เดือน) "เรียนรู้การเข้าสังคม"

ลูกกำลังฝึกฝนตนเองหลายอย่าง ว่าจะปีนกระได เดินเร็วๆ (หรือวิ่ง) แต่เนื่องจากยังไม่มีทักษะมากพอ ก็มักจะล้ม หรือทำไม่ได้ดังใจ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด เมื่อทำไม่ได้ คุณสามารถช่วยให้เขาได้ฝึกทักษะเหล่านี้บ่อยๆ ก็จะทำให้เขามีความมั่นใจ และทำได้ ก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนการพัฒนาการด้านอื่นๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้นต่อไปตามเกณฑ์ของอายุ
บางครั้งลูกจะมีอารมณ์ต่างๆ ประดังเข้ามามาก ทำให้เขาซึ่งยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างผู้ใหญ่ รู้สึกว่าจะต้องแสดงออก ซึ่งก็จะเป็นในรูปแบบที่พบบ่อย คือ “ อาละวาด....ลงไปดิ้น..” ซึ่งเป็นวิธีหนึ่ง ที่ลูกใช้ เพื่อปลดปล่อยอารมณ์แรง ที่มีในตัวเขาออกมา ถ้าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจ และรู้วิธีดูแลเขา ก็จะทำให้เขาสงบลง และกลับเป็น “เด็กดี” เหมือนเดิมได้ในเวลาไม่นาน อย่าลืมว่า วิธีการอาละวาด และลงไปดิ้นกับพื้นนั้น เป็นวิธีหนึ่งที่ลูกค้นพบ และใช้เป็นทางระบายออกของอารมณ์ของเขา คุณไม่ควรจะโมโห หรือ ไปตี ทำโทษเขาที่ทำเช่นนั้น แต่ควรควบคุมอารมณ์ของเราให้นิ่งก่อน และอยู่ข้างๆ (ห่างไปไม่ไกล) และคอยให้เขาสงบลงเอง ก่อนเข้าไปปลอบ
ถ้าคุณฝึกอ่านหนังสือกับลูกมาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ลูกยังเล็ก ก็ขอให้ทำต่อไป (สำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่ม ก็ควรเริ่ม ทำการอ่านหนังสือกับลูกด้วย) , ลูกยังอยากเรียนรู้อีกมาก และเด็กเองจะชอบที่มีคุณอยู่ใกล้ ควรให้ลูกเลือกหนังสือที่จะอ่านเอง และอ่านไปกับเขา แม้ว่าคุณจะพบว่า อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นครั้งที่ร้อยแล้วก็ตาม คุณสามารถช่วยลูกให้เรียนรู้สิ่งอื่นๆในหนังสือได้ เช่น การพูดถึงสัตว์ต่างๆ ที่มีในเรื่อง หรือของอื่นที่มีอยู่ในภาพ และสอนให้ลูกเรียก “สี” ต่างๆ ของเสื้อผ้าที่ตัวเอกของเรื่องใช้ ฯลฯ
อ่านต่อ »
ชอบเล่นเกม

อ่านต่อ »
ช่วงอายุนี้ ลูกควรจะทำมือ “บ้าย…บาย” และในบางคนจะสามารถกลิ้งลูกบอลไปและกลับ เมื่อเล่นกับผู้ใหญ่ หลายรายจะสามารถดื่มจากถ้วยได้ และบางคนจะเริ่มทำตัวเป็น “ผู้ช่วยใหญ่” ของบ้าน ลูกควรจะยืนเองได้นาน และสามารถนั่งลงเอง และยืนขึ้นด้วยตัวเองได้ ในบางรายที่มีความคล่องตัวมาก และเดินได้เก่งแล้ว อาจสามารถเดินถอยหลังได้บ้าง ลูกจะเรียนรู้ศัพท์ต่างๆใหม่ๆ ทุกวัน และจะพูดได้หลายคำขึ้น เขาจะเริ่มรู้ว่าเขาต้องการสิ่งไร และรู้วิธีที่จะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ
อ่านต่อ »
การพัฒนาการของเด็ก 1 ปี 1 เดือน (13 เดือน) "วัยแห่งการเรียนรู้"
------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลูกจะเริ่มหยิบของ เอามาหย่อนใส่ลงกล่องได้ บางคนอาจจะเริ่มลากเส้นดินสอสีในมือ แต่ก็เป็นเพียงการขีดเขียนทั่วไป ไม่เป็นรูปร่างอะไรนัก แม้ว่าเด็กบางคนอาจจะจับช้อนทานข้าวได้ แต่ก็ยังไม่สามารถทำท่าป้อนอาหารให้ตนเองได้ เริ่มโตช้าลง และทานอาหารน้อยลง คุณพ่อคุณแม่หลายคนจะหงุดหงิดที่พบว่า ลูกในวัยนี้ มีพฤติกรรมการทานอาหารเปลี่ยนไปจากเดิม ที่เคยทานอย่างว่าง่าย ป้อนเท่าไรก็เอาหมด กลายเป็นทานยากขึ้น และดู “อิ่ม” เร็ว เอามือปัด หรือปิดปาก แม้เพียงเพิ่งเริ่มป้อนได้ไม่กี่คำ
ในช่วงต้นอายุ 1 ขวบนี้ โดยทั่วไป เด็กจะมีน้ำหนักตัวเป็น 3 เท่า ของน้ำหนักแรกเกิด และสูง (ยาว) ขึ้นจากตอนแรกเกิด ประมาณ 25 ซ.ม. ขณะที่จาก 1 ขวบ ถึง 2 ขวบ น้ำหนักจะขึ้นช้าลง เพราะเด็กจะเริ่มมีไขมันสะสมน้อยลง และกล้ามเนื้อจะแน่นขึ้น และเป็นธรรมดา ที่เด็กจะมีพฤติกรรมการทานอาหาร ที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เป็นช่วงๆ บางช่วงอาจทานข้าวได้ดี แต่ทานนมน้อยลง บางช่วงจะดูเหมือนเบื่อข้าว เอาแต่นม ซึ่งถ้าเด็กยังทานอะไรบ้างในแต่ละวัน และไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอะไร ก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่ทำใจให้สบาย และคอยดูอยู่ห่างๆ เพราะเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง ก็จะทานอาหารเอง ตามที่เขาอยากจะทาน (แต่อาจจะไม่ได้ตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ) ขออย่าได้พยายามยัดเยียด หรือจับกรอก จนเด็กกลัวและเกิดการต่อต้านในที่สุด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
การติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ เด็กเริ่มจะมีคำพูดเป็นคำๆ ที่มีความหมาย เช่น มามา (แม่) หรือ ยายา ( ยาย หรือย่า) ฯลฯ ได้ และแม้ว่าลูกจะยังพูดได้ไม่กี่คำ แต่ก็จะมีวิธีการ ที่จะบอกให้คุณพ่อคุณแม่รู้ว่า เขาต้องการอะไร เช่น ชี้นิ้วให้วางเขาลงที่พื้น เมื่อต้องการลงพื้น หรือดึงมือ ดึงเสื้อคุณเมื่อเขาต้องการให้คุณสนใจเขา และเขาดูจะฟังคุณพูดรู้เรื่องได้ดีพอควร เวลาคุณเล่นกับเขา หรือบอกให้เขาทำอะไร เมื่อใช้คำพูดง่ายๆกับเขา “ ไหน…ขอลองดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น…ถ้า….”
ลูกดูจะเป็นนักทดลองตัวน้อย เขากำลังเรียนรู้ ดูปฏิกิริยาโต้ตอบของสิ่งของ หรือคนรอบข้าง ดูว่าจะเป็นอย่างไร….ถ้า….เช่น ลองเอาถ้วยปล่อยลงพื้น, หรือลองเอามือละเลงอาหารที่อยู่ในจานตรงหน้า…ลูกจะคอยสังเกตดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาทำอย่างนั้น และเนื่องจากความจำของลูกนั้นยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่ ลูกจึงชอบที่จะทำสิ่งนั้นๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ลูกดูจะเป็นนักทดลองตัวน้อย เขากำลังเรียนรู้ ดูปฏิกิริยาโต้ตอบของสิ่งของ หรือคนรอบข้าง ดูว่าจะเป็นอย่างไร….ถ้า….เช่น ลองเอาถ้วยปล่อยลงพื้น, หรือลองเอามือละเลงอาหารที่อยู่ในจานตรงหน้า…ลูกจะคอยสังเกตดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาทำอย่างนั้น และเนื่องจากความจำของลูกนั้นยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่ ลูกจึงชอบที่จะทำสิ่งนั้นๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
วัคซีนป้องกันโรค วัย 1 ขวบนี้ จะมีวัคซีนที่สำคัญอีกหลายอย่าง ที่จะต้องให้ในช่วงนี้ ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบญี่ปุ่น ซึ่งต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1- 2 อาทิตย์ และมีวัคซีนพิเศษ ที่ให้เลือกทำได้ ได้แก่วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส (ตั้งแต่อายุ 1 ปี ขึ้นไป) สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการป้องกันลูกจากโรคอีสุอีใส และที่ช่วงอายุ 12 - 15 เดือน จะมีวัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม อีก จึงควรปรึกษาแพทย์ ที่ดูแลลูกเรื่องวัคซีนเหล่านี้ ตามเกณฑ์อายุของเขา (ดูในบทวัคซีนป้องกันโรค)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------ขอบคุณผู้เขียนพญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
อ่านต่อ »
พัฒนาการปกติ เดือนที่ 12 “ หนูเดินได้แล้ว”
ประมาณ 3 ใน 5 รายของเด็กที่อายุ 1 ปี จะเริ่มเดินได้เอง ในวันครบรอบวันเกิดของเขา แต่ก็ยังต้องการการฝึกฝนอีกสักพัก ก่อนที่จะเดินได้คล่อง บางครั้งเด็กจะล้ม ซึ่งมักจะมีการร้องไห้ตามมาด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ใช่จากเจ็บตัว แต่จะเป็นจากตกใจ หรือหงุดหงิดที่ตนเองยังไม่สามารถเดินไปถึงที่ที่เขาต้องการ และหลายต่อหลายครั้งเด็กที่เริ่มเดินได้แล้ว จะกลับมาใช้วิธีคลานอีก เนื่องจากยังถนัด ที่จะพาตนเองไปไหนตามใจ โดยการคลาน และเขายังพบว่าเขาคลานได้เร็วกว่าเดินในช่วงแรกๆ
อ่านต่อ »
ขณะนี้ลูกจะเริ่มเกาะยืน และไต่เดินตามขอบโซฟา ได้เองอย่างคล่องแคล่วขึ้น และในบางครั้ง เขาจะปล่อยมือ และเดินเองได้ 2-3 ก้าว แต่อาจจะไม่มั่นใจก้าวต่อไปจึงหยุด เด็กจะชอบการปีนบันไดมาก เขาจะพยายามปีนขึ้นบันได ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่า จะถอยลงบันไดอย่างไร (ใช้เวลาอีกเกือบ 1-2 เดือน ที่จะรู้วิธีนำตัวเองลงบันไดมาได้เอง อย่างปลอดภัย) คุณต้องดูแลใกล้ชิด อย่าปล่อยลูกไว้ใกล้บันไดตามลำพังเป็นอันขาด ระวังตกบันได !!!

อ่านต่อ »
พัฒนาการ เด็ก 10 เดือน - ล้อเล่นน่า
ช่วงนี้เด็กจะชอบนั่งเล่นรื้อของ ใช้มือทั้งสองทำโน่นทำนี่ เมื่อเขาเมื่อย หรือเบื่อก็จะสามารถล้มตัว ลงนอนได้เอง และสามารถลุกขึ้นมานั่งได้เองอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องการ เขาจะชอบที่จะปีนป่ายถ้ามีโอกาส ส่วนใหญ่จะเริ่มอยู่ในท่ายืนบ้าง แต่ก็จะยังไม่สามารถทรงตัวได้ดีนัก บางคนจะเกาะเดินไปรอบๆโซฟา ได้ไกลพอควร และส่วนใหญ่จะยังไม่สามารถเดินได้เอง เด็กจะพยายามฝึกฝนตนเอง ทำให้บางครั้ง คุณจะพบว่า ลูกดูเหมือนตื่นขึ้นมากลางดึก แต่แทนที่จะนอนเล่น กลับพบว่าเขาเกาะยืนขึ้นมาในเตียง และเรียนรู้ว่า การเขย่าขอบเตียงทำให้เกิดเสียง และจะสามารถ เรียกความสนใจจากคุณได้ โดยไม่ต้องร้องไห้ ลูกจะนอนหลับได้ยาวนานขึ้น ในตอนกลางคืน และจะมีเวลานอนกลางวันน้อยลง บางครั้งเมื่อง่วง เด็กจะมีอาการโยเยมากขึ้น ดิ้นไปมานานพอควรกว่าจะหลับได้ คุณควรให้เวลากับเขา ในช่วงที่เขาเริ่มง่วง การกล่อม การโอบกอด จะช่วยเอาเขาหลับได้ง่ายขึ้น
ลูกจะชอบเล่น” ซ่อนหา” ซึ่งเป็นการต่อเนื่องมาจากการเล่น “จ๊ะเอ๋” โดยคราวนี้ เขาจะชอบเอาผ้ามาปิดหน้าเขา และคอยให้คนอื่นมาเปิด และทำท่าทักทายเขา ถ้าเขาเริ่มเอาผ้ามาปิดหน้าเขา แต่ไม่มีใครมาเปิดผ้าเล่นกับเขา เขาจะส่งเสียงเรียก ให้คุณมาหาเขา เช่นกัน บางครั้งแทนที่จะใช้ผ้าปิดหน้าเขา เขาจะใช้มือสองข้าง ปิดหน้าของเขาแทน ในคอนเซปต์ของเด็กในวัยนี้ก็คือว่า ถ้าเขามองไม่เห็นคุณ ก็เช่นกัน ที่คุณจะมองไม่เห็นเขา
ลูกจะชอบที่จะอ่านหนังสือ หรือดูรูปภาพ โดยเฉพาะเมื่อคุณอ่านให้เขาฟัง แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจ ในทุกคำพูดของคุณ แต่เขาจะเริ่มเข้าใจ ในโทนเสียง และท่าทาง หรือภาพประกอบที่เขาได้เห็น ควรให้โอกาสเขาได้ “อ่าน” แต่ละหน้าหนังสือ ตามที่เขาต้องการ และไม่จำเป็นต้องพยายามอ่านให้จบเล่ม ในเวลาที่กำหนด ลูกจะพูดคำบางคำง่ายๆ ได้ เช่น บ้าย-บาย, บูม (เวลานั่งลงก้นกระแทกพื้น และทำหน้าตลก) และจะเข้าใจคำต่างๆ ที่คุณพูดกับเขาได้มากขึ้นอีก เมื่อคุณถามว่า “ แม่อยู่ไหน ?” เขาจะชี้ได้ , “คนไหนคุณตา ?” เขาก็จะชี้ได้ถูกต้อง
แม้ว่าลูกอาจจะทำท่าชะงัก หรือหยุด เมื่อได้ยินคุณพูดว่า “อย่า” หรือ “ ไม่เอา” หรือแม้แต่ทำเสียงเลียนคุณว่า “ไม่” และอาจจะส่ายหน้าด้วย (ใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่า เขาจะรู้จัก คำว่า “ใช่” และรู้จักพยักหน้า) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเข้าใจ และยอมหยุดการกระทำนั้นๆ เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถควบคุมตนเอง (Self-control) ได้ดีนัก และยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนก่อนที่เขาจะเริ่มควบคุมตนเองได้ในระดับหนึ่ง
อ่านต่อ »
พัฒนาการปกติ เดือนที่ 9 “เตรียมความพร้อม”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ลูกได้สะสมทักษะ เตรียมความพร้อมในการใช้มือ การใช้สายตา และการเข้าสังคม และตื่นเต้นกับสิ่งที่ดูเหมือนง่ายๆ สำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็นก้าวที่สำคัญ สำหรับการพัฒนาการของเขาต่อไป ในเดือนนี้เขาจะใช้เวลา ในการฝึกฝนขั้นตอนการพัฒนาการต่างๆเหล่านี้ ให้ดียิ่งขึ้น และยังกระหายที่จะเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

ลูกจะลุกขึ้นมานั่งเองได้ จากท่านอนบนพื้น และจะสามารถช่วยตนเองให้ขึ้นมา อยู่ในท่ายืนได้ (เกาะยืน) โดยอาจจะต้องอาศัยโซฟา เป็นที่เกาะ และเด็กบางคนจะเริ่ม”ตั้งไข่” ทำท่าเหมือนจะเดินได้ หนึ่งหรือสองก้าว แต่ก็ยังไม่กล้าเดินต่อ หรืออาจจะลงนั่งอีก ลูกจะคลานได้เก่ง และจะมีโอกาส เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น จะชอบขึ้นกระได แต่อาจจะพลัดตก หงายลงมาได้ หรือปีนป่ายโต๊ะ ดึงลิ้นชัก, ผ้าปูโต๊ะ จนหลุดออกมา หล่นใส่ตัวหรือเท้าได้ จึงควรล็อกลิ้นชัก และไม่ใช้ผ้าปูโต๊ะ ในบริเวณที่เด็กอยู่ประจำ แม้แต่ต้นไม้ที่ปลูกในกระถางในบ้าน ก็อาจถูกลูกเข้าไปรื้อ และโน้มให้หล่นทับตัวลูกได้
ลูกจะสามารถใช้มือได้ ตามขนาดของสิ่งของ ที่เขากำลังจับเล่นอยู่ และเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ของของต่างๆ เช่น จะสามารถเอาของชิ้นเล็ก ไปใส่ในของชิ้นใหญ่ (เล่นตระกร้าเก็บของ, เอาของชิ้นเล็กใส่ถ้วย ฯลฯ *** ต้องระวังถ้าของชิ้นเล็กมาก ลูกจะเอาใส่ปาก และเกิดอันตรายจากการสำลักได้) และจะสามารถ ต่อบล็อกชิ้นใหญ่ วางซ้อนกันได้ 2 ชั้น หรือเอาฝามาปิดปากถ้วยได้
ลูกสามารถเข้าใจดีขึ้น ถึงคอนเซปต์ของคน และสิ่งของว่า จะยังคงอยู่ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น จากการเล่นเกมเมื่อเดือนก่อนๆ ที่ช่วยทำให้เขาเรียนรู้ว่า เมื่อคุณออกไปจากห้อง แม้ว่าเขาจะไม่เห็นคุณ แต่ก็รู้ว่าอีกสักครู่ คุณก็จะกลับมาอยู่กับเขาแน่
คุณพ่อคุณแม่หลายคน จะพยายามซื้อของเล่นที่พิเศษๆ ให้ลูก และพยายามสอนให้ลูก ได้เล่นอย่างถูกต้อง ตามชนิดของๆ เล่น แต่การพยายามด้วยความหวังดีของคุณนี้ อาจจะไปขัดขวาง การเรียนรู้ของเด็กในการหัดสังเกต และการฝึกฝนในการใช้มือ และสายตา ทางที่ดีแล้วควรให้โอกาสลูก ได้ลองเล่นอยากที่เขาอยากจะเล่นเอง แล้วเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ในเรื่องต่างๆ ได้เองทีหลัง โดยคุณไม่ต้องกังวล คอยแก้ให้เขาเล่น ให้ถูกต้องอย่างผู้ใหญ่ และแม้ว่า ลูกดูเหมือนจะเล่นเอง หรืออยู่คนเดียวได้ แต่เขาก็ยังจะมองหา หรือต้องการให้แน่ใจว่า มีคุณอยู่ใกล้ๆในห้อง
อีกขั้นของการพัฒนาการ ที่คุณจะเริ่มฝึกให้ลูก ในอายุนี้ คือ การเลิกนมแม่ หรือนมขวด และเริ่มให้ดื่มจากถ้วยแทน แม้ว่าเขาจะยังไม่ยอมดื่มเองจากถ้วย โดยการเริ่มใช้ ”ถ้วยฝึกดื่ม” เลือกช่วงเวลาที่เขาไม่ค่อยสนใจดูดนมจากขวด เปลี่ยนมาให้เป็น “ถ้วยฝึกดื่ม” แทน โดยในช่วงแรกให้ฝึกดื่มน้ำก่อน และเปลี่ยนเป็นนม ในภายหลัง และอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน ก่อนที่ลูกจะยอมรับการดื่มจากถ้วย
การพูดของลูกในตอนนี้ จะยังไม่เป็นคำ ที่ฟังมีความหมายนัก แต่เขาก็จะเริ่มมีการออกเสียงที่พอฟังได้ ถ้าเราจะเข้าใจเขา เช่น การเรียก “มะมะ” อาจหมายถึง “หม่ำ” อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาถึงจะสามารถออกเสียง เรียกคำที่มีความหมายที่ถูกต้องได้ แต่สิ่งสำคัญคือ ลูกจะเข้าใจ”ความหมาย” ในสิ่งที่คุณพูดกับเขา ได้มากขึ้น พยายามพูดกับลูกบ่อยๆ และเรียกคำศัพท์เฉพาะ สำหรับสิ่งของ และกริยาต่างๆ ที่คุณใช้อยู่เป็นประจำ เช่น “พ่อ” “แม่” “ตา” ยาย” “ส่งจูบ” “บ้าย บาย” ซึ่งลูกจะเข้าใจ และสามารถทำตามที่คุณบอกได้
บางครั้งที่เขาเริ่มซน และถูกคุณดุ จะทำให้เขาตกใจ หรือบางทีแสดงท่าเสียใจ ซึ่งคุณควรระวัง อย่าให้มีการห้าม หรือต้องดุกัน บ่อยๆ เพราะจะทำให้เขาเกิดความกลัว ไม่กล้าที่จะลอง หรือทำอะไรนัก แต่เช่นกัน คุณก็ควรระวังเรื่องอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นจากความไร้เดียงสาของเขา ในการลองทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นการดูแลใกล้ชิด และคอยช่วยเหลือเขาบ้าง ในยามที่เขาต้องการ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาส ให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเอง จะเหมาะสมที่สุด
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณผู้เขียน
พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์

ลูกจะลุกขึ้นมานั่งเองได้ จากท่านอนบนพื้น และจะสามารถช่วยตนเองให้ขึ้นมา อยู่ในท่ายืนได้ (เกาะยืน) โดยอาจจะต้องอาศัยโซฟา เป็นที่เกาะ และเด็กบางคนจะเริ่ม”ตั้งไข่” ทำท่าเหมือนจะเดินได้ หนึ่งหรือสองก้าว แต่ก็ยังไม่กล้าเดินต่อ หรืออาจจะลงนั่งอีก ลูกจะคลานได้เก่ง และจะมีโอกาส เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น จะชอบขึ้นกระได แต่อาจจะพลัดตก หงายลงมาได้ หรือปีนป่ายโต๊ะ ดึงลิ้นชัก, ผ้าปูโต๊ะ จนหลุดออกมา หล่นใส่ตัวหรือเท้าได้ จึงควรล็อกลิ้นชัก และไม่ใช้ผ้าปูโต๊ะ ในบริเวณที่เด็กอยู่ประจำ แม้แต่ต้นไม้ที่ปลูกในกระถางในบ้าน ก็อาจถูกลูกเข้าไปรื้อ และโน้มให้หล่นทับตัวลูกได้
อ่านต่อ »
DHA และ ARA ในนมผสม ดีจริงหรือไม่
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบกันคือ DHA และARAที่เติมในนมผงนั้นอยู่ในรูปของน้ำมัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนน้ำมันชนิดนี้สกัดออกมาจากสาหร่าย (algae) และเชื้อรา (fungus) ที่เพาะในห้องทดลอง กระบวนการสกัดน้ำมันนี้ใช้สาร hexane ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีพิษ
น้ำมันจากเชื้อราและสาหร่ายให้ DHA และ ARA ที่มีโครงสร้างแตกต่างจาก DHA และ ARA ที่พบตามธรรมชาติในน้ำนมแม่ ให้ชื่อน้ำมันชนิดใหม่ที่ผลิตจากโรงงานว่า DHASCO (DHA single cell oil) และ ARASCO (ARA single cell oil)
น้ำมันนี้ผลิตโดย Martek Biosciences Corporation และใส่ลงในนมผงเลี้ยงทารกเป็น เครื่องมือทางการตลาดเพื่อให้พ่อแม่มั่นใจว่านมผสมนั้น “ ใกล้เคียงนมแม่มากกว่าแต่ก่อน”
ยืนยันได้จากแผ่นประชาสัมพันธ์การลงทุนใน Martek เมื่อปี 1996 ดังต่อไปนี้
“ถึงแม้ว่า (DHA/ ARA ) จะไม่มีประโยชน์ เราคิดว่ามันจะถูกใส่ลงไปในนมผสมอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นเครื่องมือทางการตลาด และทำให้บริษัทสามารถโฆษณานมผสมของเขาได้ ว่า ใกล้เคียงน้ำนมแม่มากที่สุด“
ตั้งแต่มีการเติมน้ำมันทั้งสองชนิดนี้ (DHASCO ,ARASCO)ลงในนมผสม คุณแม่มือใหม่จำนวนมากมีแนวโน้มจะเชื่อว่า “ นมผสมก็ดีเท่าๆกับนมแม่” องค์กรต่างๆที่ทำงานเพื่อสนับสนุนนมแม่ทำงานด้วยความยากลำบากขึ้น เพราะโฆษณาจะอ้างว่านมผสมมีคุณสมบัติใกล้เคียงนมแม่มากขึ้น
ในอเมริกามีการสำรวจโดย Department of Health and Human Services พบว่า การโฆษณา DHA/ ARA ทำให้แรงสนับสนุนนมแม่อ่อนลงไป กล่าวคือ ในปี 2003 12% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยกับความเห็นที่ว่า “ นมผสมและนมแม่เป็นวิธีเลี้ยงทารกที่ดีเท่าๆกัน” แต่เมื่อถามคำถามเดียวกันในปี 2004 หลังจากมีการโหมโฆษณานมผสมที่เติม DHA /ARA พบว่ามีผู้เห็นด้วยเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวเป็น 24%
เป็นที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วว่า การให้นมแม่มีผลดีกว่านมผสมมากมาย ดังนั้นโฆษณาหรือฉลากข้างกระป๋องนมผสมที่อ้างความใกล้เคียงนมแม่ ทำให้เด็กๆได้รับนมแม่น้อยลง จึงมีผลต่อสุขภาพของเด็กๆและสาธารณสุข
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา http://cornucopia.org/DHA/DHA-Update-2010.pdf
อ่านต่อ »
พัฒนาการปกติ เดือนที่ 8 “ขอไปเที่ยวด้วย”
ลูกจะเริ่มมีความสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น เพราะเขาเริ่มเรียนรู้ ถึงความตื่นเต้นที่ได้ลองสิ่งใหม่ๆ เขาเริ่มทำอะไรเองได้มากขึ้น และจะชอบ เมื่อมีคนเล่นด้วยเด็กจะยังไม่ทราบถึงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น จากการกระทำของเขา เช่น การคว้าถ้วยกาแฟร้อน หรือ การจับมีดปอกผลไม้ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ช่วงนี้คุณจึงต้องระวังเป็นพิเศษ และพยายามตรวจเช็คดูสภาพห้องและบริเวณที่เล่นของลูก ว่าเป็นที่ที่ปลอดภัย
ลูกจะคลานได้คล่อง และเริ่มพาตัวเองไปยังที่ ที่ต้องการจะไปได้โดยเร็ว
ควรต้องระวังเรื่องประตู เพราะจะเป็นที่ที่เด็กชอบมาก เนื่องจากเห็นการเคลื่อนไหวนอกห้อง ที่น่าตื่นเต้นสำหรับเขา จึงเกิดอุบัติเหตุ ประตูเปิดกระแทกเด็ก หรือประตูหนีบนิ้วมือได้บ่อยๆ หรือไม่ก็อาจจะออกมานอกห้อง และคลานตกบันไดได้ลูกจะชอบเอานิ้วเล็กๆ แหย่ตามร่อง รู ที่เห็นตามพื้น หรือกำแพง หรือแม้แต่ ปลั๊กไฟ เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ลูกจะนั่ง และคลานไปมา ได้นานขึ้น เพราะกล้ามเนื้อแขนขา และหลัง แข็งแรงขึ้น และเริ่มเกาะยืน (ชอบให้คุณอุ้มเขายืนบนตัก หรือโต๊ะ) คุณควรให้โอกาสเขาได้นั่ง และคลานเล่น บนพื้น จะดีกว่าการอุ้มตลอดเวลา หรือจับใส่ไว้ในเก้าอี้หัดเดิน (walker) เพราะเก้าอี้หัดเดิน ไม่ได้ให้เด็กได้มีโอกาสฝึกฝนการทรงตัว (balancing ) อย่างธรรมชาติ
เด็กจะเรียนรู้ จากการได้ลองทำการยืนด้วยตนเอง และเขาจะต้อง ลองแล้วลองอีก (trail and error) อีกหลายครั้ง กว่าจะรู้วิธีการ ที่จะขึ้นมาจากท่านั่ง เป็นเกาะยืน และเริ่มตั้งไข่ ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อม ในการเดินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เด็กจะเรียนรู้ว่า พื้นหรือเครื่องเรือนแบบไหน ที่จะรองรับน้ำหนักเขาได้ (ช่วงนี้จะพบว่าเด็กมีโอกาสตกโต๊ะ หรือเก้าอี้ได้บ่อยๆ จากการพยายามปีนของเขานั่นเอง) คุณสามารถช่วยลูกหัดหย่อนก้นลงนั่ง จากท่ายืนโดยการก้มตัวลง (งอส่วนลำตัวด้านบนกับสะโพก) โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และวางน้ำหนัก ไปทางก้น เพื่อที่จะได้นั่งลงได้ โดยไม่หงายหลัง หรือเจ็บตัว
ควรให้ลูกได้มีโอกาสฝึกฝนเองให้มาก เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ และมีความมั่นใจ ในการก้าวต่อไป จะดีกว่าการปกป้องคอยอุ้มเขา กลัวเขาล้ม เพราะอาจทำให้เด็กไม่กล้า ที่จะลองทำการลุกนั่งเองให้ได้ลูกจะชอบรื้อของ โดยเฉพาะของที่อยู่ในตู้ อาจเป็นตู้เสื้อผ้า หรือตู้ในห้องครัว และตู้ในห้องน้ำ ที่ใช้เก็บสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ, น้ำยาล้างจาน,น้ำหอม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีอันตรายมาก ถ้าเด็กทานเข้าไป หรือหกราดเข้าตา คุณจึงควรจะเก็บของเหล่านี้ ให้มิดชิด และใช้กุญแจล็อก ให้แข็งแรง ป้องกันไม่ให้ลูกเปิดได้ ในบางบ้านที่ระมัดระวังมาก จะไม่ใช้พวกน้ำยาล้างห้องน้ำที่แรงเลย เพราะแม้แต่สารตกค้าง ที่อยู่บนพื้นห้องน้ำ ฯลฯ ก็อาจทำอันตรายแก่ลูกได้ แม้แต่ถังขยะเล็กๆ ในห้องของคุณ ก็อาจเหมือนขุมทรัพย์ ที่น่าตื่นเต้นของเด็ก ที่จะเข้ามารื้อค้น ซึ่งถ้ามีสารพิษ หรือ เศษของมีคม ฯลฯ อยู่ ก็จะมีอันตรายได้ จึงควรมีการนำสิ่งเหล่านี้ ไปทิ้งในที่ที่พ้นมือเด็ก ข้างนอกบ้าน จะปลอดภัยกว่า
ตาของลูกจะสามารถมองเห็น ในรายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น และจะเป็นคนช่างสังเกต เขาจะสามารถ เอานิ้วชี้ไปยังสิ่งที่ต้องการ เพื่อบอกเราได้ และจะคอยสังเกตเห็นสิ่งของใหม่ๆ ที่อยู่ในห้อง (หรือในบ้าน) ได้เสมอ
เรื่องการทานอาหาร ก็จะยังไม่ค่อยแน่นอน บางวันบางมื้อ อาจจะทานได้ดี บางมื้ออาจจะไม่ค่อยยอมทานเลย แล้วแต่ว่า อารมณ์และความสนใจของเขา จะอยู่ที่ไหน จึงควรปล่อยตามสบาย ไม่พยายามยัดเยียดให้ลูกต้องทานให้หมด ตามที่คุณแม่ต้องการ แต่ควรเป็นไป ตามที่เด็กต้องการ เพราะจะเกิดการต่อต้านขึ้นได้ง่ายและในที่สุด จะกลายเป็นเด็กทานยากขึ้น
เรื่องการนอน ก็อาจจะยังไม่ค่อยลงตัว แต่ก็ยังต้องการ การนอนกลางวันอยู่ บางครั้งลูกอาจจะไม่ยอมนอน และพยายามเล่น จนเหนื่อย หรือเพลีย แล้วหลับไปได้นานกว่าธรรมดา ซึ่งเด็กบางคนในช่วงที่เริ่มเหนื่อย หรือง่วง จะค่อนข้างหงุดหงิด และจะต้องการให้คุณอุ้ม หรือกล่อมเขาจนได้ที่ ก่อนที่จะยอมหลับไปการพัฒนาด้านภาษา ก็ได้มีการวางรากฐานไว้ ตั้งแต่ช่วงลูกยังเล็กๆ นานก่อนที่ลูกจะพูดได้คำแรก คุณควรพยายามพูดคุยกับลูกเสมอๆ โดยการทำสีหน้า และโทนเสียงสูงเสียงต่ำต่างกันไป ในช่วงนี้ลูกจะสามารถแสดงสีหน้า และแววตา ว่าเขากำลังฟังคุณอยู่ บางครั้งเขาจะพยายามทำเสียงเลียนเสียงของคุณ เพื่อเป็นการโต้ตอบกัน
คุณพ่อคุณแม่หลายคนในช่วงตอนนี้ อาจจะผ่อนภาระการเลี้ยงดูลูก ให้แก่พี่เลี้ยง หรือคุณตาคุณยายมากขึ้น เนื่องจากต้องไปทำงาน หรือมีเวลาน้อย แต่ก็ยังอยากให้คุณ จัดเวลาให้แก่ลูก เพื่อจะได้เล่น และดูเขาเติบโต อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากความใกล้ชิดที่คุณจะมีกับลูกนั้น ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับตัวเขา และการเป็น “พ่อแม่” ของคุณในแต่ละช่วงของชีวิตลูก ก็จะผ่านเลยไป ไม่สามารถหวนคืนมาได้อีก จะมีก็แต่ความประทับใจ และความทรงจำในความรู้สึกต่างๆ ที่คุณมีให้แก่ลูก ที่จะยังคงอยู่ ซึ่งทางฝรั่งจะมีการพูดว่า “ Your child can be a child only once” ฉะนั้นขอให้คุณแบ่งเวลาของคุณ ให้เหมาะสมด้วย
อ่านต่อ »